หลังจากที่เดินมาด้านหลังพระพุทธเกศแก้วแล้ว ในระหว่างทางที่จะขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาทพระสิทธัตถะ เราจะพบรูปปั้นช้างองค์ใหญ่ ซึ้งมีชื่อว่า "ปาลิเลยยกะ" ซึ้งเป็นพญาช้างในพระพุทธประวัติ อ่านต่อที่ Read more
ครั้งหนึ่งพระภิกษุในวัดโฆสิดาราม กรุงโกสัมพี ทะเลาะวิวาทกัน ประพฤติตนเป็นผู้ว่านอนสอนยาก สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงระอาพระทัยจึงเสร็จไปจำพรรษาในป่าทึบแถบหมู่บ้านปาลิเลยยกะ โดยมีพญาช้างปาลิเลยยกะ และลิงตัวหนึ่งเป็นอุปัฏฐาก
ซึ้งในครั้งนั้นเมื่อช้างปาลิเลยกะได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงสวัสดิโสภาคย์เสด็จมาจำพรรษาในป่ารักขิตวันแห่งเดียวกับตนแล้ว บังเกิดความศรัทธาเลื่อมใส จึงเข้าไปถวายบังคมแล้วเข้าไปหา ปัดกวาดบริเวณใต้ต้นสาละให้สะอาดเรียบ เอางวงจับหม้อตักน้ำเสวยและน้ำใช้มาตั้งไว้ เมื่อพระศาสดามีพระประสงค์น้ำร้อนก็ถวายน้ำร้อน
วิธีการทำน้ำร้อนของช้างเป็นดังนี้ โดยได้เอางวงจับไม้แห้งสองอันแล้วสีกันให้เกิดไฟ ใส่ฟืนให้ไฟลุกขึ้นเผาศิลาในกองไฟนั้น แล้วเอาท่อนไม้กลิ้งศิลาให้ลงไปในแอ่งน้ำ เมื่อต้องการจะรู้ว่าน้ำร้อนแล้วหรือไม่ ก็เอางวงหย่อนลงไปในน้ำ เมื่อรู้ว่าน้ำอุ่นแล้ว ก็ไปถวายบังคมพระศาสดา เป็นทำนองทูลให้ทรงใช้น้ำร้อนได้ จากนั้น ก็ได้เที่ยวไปนำผลไม้ประเภทต่าง ๆ มาถวายพระศาสดาด้วยเหมือนกัน
เวลาพระศาสดาเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน ช้างปาลิเลยยกะได้วางบาตรและจีวรของพระองค์ไว้บนตระพอง ตามเสด็จพระศาสดาไป เมื่อพระพุทธองค์เสด็จถึงเขตบ้านจึงรับสั่งว่า "ปาลิเลยยกะ ตั้งเเต่นี้ไป เจ้าจะเข้าไปไม่ได้ จงเอาบาตรและจีวรของเรามา" ช้างจะยืนอยู่ที่นั่นเอง จนกว่าพระพุทธองค์จะเสด็จกลับ ช้างปาลิเลยยกะจึงได้เข้าไปทำการต้อนรับ ถือบาตรเเละจีวรไปโดยนัยที่กล่าวแล้วไปวางไว้ ณ ที่ประทับแล้วนำกิ่งไม้มาต่างพัด ยืนพัดพระศาสดาอยู่
เวลากลางคืน ช้างปาลิเลยยกะจะถือท่อนไม้ท่อนใหญ่ เดินวนเวียนอยู่ในบริเวณอันเป็นที่ประทับของพระศาสดา และที่ใกล้เคียง เพื่อป้องกันอันตรายให้พระผู้มีพระภาค จนรุ่งอรุณ เมื่อรุ่งอรุณแเล้วก็ทำกิจอย่างอื่นอย่างที่เคยทำมาทุกวัน มีการถวายน้ำสรงพระพักตร์
ครั้งออกพรรษา พระอานนท์พร้อมด้วยคณะพระภิกษุได้มากราบทูลอาราธนาพระพุทธองค์ให้เสด็จกลับพระเชตวันมหาวิหาร หลังจากพระพุทธองค์เสด็จกลับ พญาช้างเสียใจล้มลงขาดใจตาย บรรดาพระภิษุผู้ว่ายากเมื่อทราบว่าพระพุทธองค์เสร็จกลับมายังพระเชตวันมหาวิหาร ก็รีบเดินทางมาเข้าเฝ้าเพื่อแสดงความสำนึกผิด .
ซึ้งในครั้งนั้นเมื่อช้างปาลิเลยกะได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงสวัสดิโสภาคย์เสด็จมาจำพรรษาในป่ารักขิตวันแห่งเดียวกับตนแล้ว บังเกิดความศรัทธาเลื่อมใส จึงเข้าไปถวายบังคมแล้วเข้าไปหา ปัดกวาดบริเวณใต้ต้นสาละให้สะอาดเรียบ เอางวงจับหม้อตักน้ำเสวยและน้ำใช้มาตั้งไว้ เมื่อพระศาสดามีพระประสงค์น้ำร้อนก็ถวายน้ำร้อน
วิธีการทำน้ำร้อนของช้างเป็นดังนี้ โดยได้เอางวงจับไม้แห้งสองอันแล้วสีกันให้เกิดไฟ ใส่ฟืนให้ไฟลุกขึ้นเผาศิลาในกองไฟนั้น แล้วเอาท่อนไม้กลิ้งศิลาให้ลงไปในแอ่งน้ำ เมื่อต้องการจะรู้ว่าน้ำร้อนแล้วหรือไม่ ก็เอางวงหย่อนลงไปในน้ำ เมื่อรู้ว่าน้ำอุ่นแล้ว ก็ไปถวายบังคมพระศาสดา เป็นทำนองทูลให้ทรงใช้น้ำร้อนได้ จากนั้น ก็ได้เที่ยวไปนำผลไม้ประเภทต่าง ๆ มาถวายพระศาสดาด้วยเหมือนกัน
เวลาพระศาสดาเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน ช้างปาลิเลยยกะได้วางบาตรและจีวรของพระองค์ไว้บนตระพอง ตามเสด็จพระศาสดาไป เมื่อพระพุทธองค์เสด็จถึงเขตบ้านจึงรับสั่งว่า "ปาลิเลยยกะ ตั้งเเต่นี้ไป เจ้าจะเข้าไปไม่ได้ จงเอาบาตรและจีวรของเรามา" ช้างจะยืนอยู่ที่นั่นเอง จนกว่าพระพุทธองค์จะเสด็จกลับ ช้างปาลิเลยยกะจึงได้เข้าไปทำการต้อนรับ ถือบาตรเเละจีวรไปโดยนัยที่กล่าวแล้วไปวางไว้ ณ ที่ประทับแล้วนำกิ่งไม้มาต่างพัด ยืนพัดพระศาสดาอยู่
เวลากลางคืน ช้างปาลิเลยยกะจะถือท่อนไม้ท่อนใหญ่ เดินวนเวียนอยู่ในบริเวณอันเป็นที่ประทับของพระศาสดา และที่ใกล้เคียง เพื่อป้องกันอันตรายให้พระผู้มีพระภาค จนรุ่งอรุณ เมื่อรุ่งอรุณแเล้วก็ทำกิจอย่างอื่นอย่างที่เคยทำมาทุกวัน มีการถวายน้ำสรงพระพักตร์
ครั้งออกพรรษา พระอานนท์พร้อมด้วยคณะพระภิกษุได้มากราบทูลอาราธนาพระพุทธองค์ให้เสด็จกลับพระเชตวันมหาวิหาร หลังจากพระพุทธองค์เสด็จกลับ พญาช้างเสียใจล้มลงขาดใจตาย บรรดาพระภิษุผู้ว่ายากเมื่อทราบว่าพระพุทธองค์เสร็จกลับมายังพระเชตวันมหาวิหาร ก็รีบเดินทางมาเข้าเฝ้าเพื่อแสดงความสำนึกผิด .